วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

นักบาสเก็ตบอล

ยินดีต้อนรับผมด.ช.ชัยรัตน์ คณานันท์ เว็บนี้เกี๋ยวกับ นัก กีฬาบาสเก็ตบอล
เมตตา เวิลด์พีซ ,นักบาสเก็ตบอล ,นักกีฬาบาสเก็ตบอล,ประวัตินักกีฬา,ข้อมูลนักกีฬา


ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ :  เมตตา เวิลด์พีซ 
วันเกิด :  13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979
สถานที่ : ประเทศสหรัฐอเมริกา
อาชีพ : นักกีฬาบาสเก็ตบอล
ประวัติ
เมตตา เวิลด์พีซ (อังกฤษMetta World Peace) เดิมชื่อว่า โรนันด์ วิลเลียม "รอน" อาร์เทส,จูเนียร์(Ronald William Artest, Jr.) เป็น นักบาสเกตบอลมืออาชีพ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 ที่ นิวยอร์ก เริ่มเล่นบาสเกตบอลระดับอาชีพกับทีม ชิคาโก บูลส์ เมื่อปี ค.ศ. 1999 ขณะอายุเพียง 20 ปีและได้เล่นให้กับบูลส์ถึง 3 ฤดูกาลก่อนจะย้ายจากบูลส์ไปอยู่กับ อินเดียนา เพเซอร์ส ในปี ค.ศ. 2002 และอยู่กับเพเซอร์สนานถึง 4 ฤดูกาลก่อนจะถูกเทรดไปอยู่กับ ซาคราเมนโต คิงส์
ในสมัยที่เขายังอยู่กับอินเดียนานั้นเขาได้สร้างวีรกรรมเอาไว้ คือกระโดดขึ้นไปถีบและมีเรื่องชกต่อยกับแฟนบาสทีมดีทรอยต์ พิสตันส์ ในเหตุการณ์ที่เรียกว่าPacer-Pistons Brawl หลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้ เขาและเพื่อนร่วมทีมหลายคน เช่น สตีเฟ่น แจ็คสันเรจจี มิลเลอร์ โดนแบน โดยเฉพาะตัวของอาร์เทสต์นั้นโดนแบนตลอดฤดูกาล
ในปี ค.ศ. 2006 อาร์เทสต์ได้ถูกขายจากเพเซอร์สไปอยู่กับทีมคิงส์ แต่อยู่ได้ 2 ปีก็ย้ายจากคิงส์ไปอยู่กับ ฮุสตัน รอคเกตส์ ในปี ค.ศ. 2008 แต่อยู่ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ย้ายมาอยู่กับ ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ต้นสังกัดปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ. 2009
อาร์เทสต์ ได้เปลี่ยนชื่อ และชื่อสกุล เป็น "เมตตา" นามสกุล "เวิลด์พีซ" เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2011 ในช่วงพักฤดูกาล  เขากล่าวว่าได้แรงบันดาลใจในการเปลี่ยนชื่อมาจาก แชด เจวอน จอห์นสัน นักอเมริกันฟุตบอลทีมซินซินแนติเบงกอลส์ ที่เปลี่ยนนามสกุลจาก Johnson เป็น "Ochocinco" ในปี 2008  ประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของอาร์เทสต์แถลงว่า ชื่อใหม่มาจากศัพท์พุทธศาสนา "เมตตา"










ประวัตินักกีฬา

ชื่อเต็ม Carmelo Kyam Anthony
ชื่อเรียก / ฉายา  "Melo Man"
ตำแหน่ง  Small Forward
เกิด  29  พฤษภาคม 1984 ( อายุ 29 ปี )
สถานที่้เกิด  Blooklyn, New York
สัญชาติ  American
ส่วนสูง  2.03 m
น้ำหนัก  104 g
สังกัดทีม  New York Knicks

เส้นทางสู่ NBA
ชีวิตการเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพของ "เมโล่" เริ่มขึ้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2003 เมื่อเขาถูกรับเลือกรอบแรกในรายการ NBA DRAFT ในการคัดเลือกครั้งนี้เมโล่ถูกเลือกเป็นคนที่ 3 โดยเป็นเดนเวอร์ นักเก็ตส์ที่เลือกเขา ในปีเดียวกันนี้เลบรอน เจมส์ ถูกเลือกรอบแรกเช่นกันและถูกเลือกเป็นคนแรกด้วย ซึ่งเลือกโดยคลีฟแลนด์ และคนที่สองคือ ดาร์โก้ มิลิซิช เลือกโดยดีทรอยต์ พิสตันส์
การฉายแววเด่นของเขาถูกถ่ายทอดออกมาสู่สายตาคนดูในนัดเปิดฤดูกาลวันที่ 29 ตุลาคม 2003  นักเกตส์เปิดบ้านเอาชนะซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส 80-72 คาร์เมโล่ แอนโธนี่มีส่วนช่วยทำคะแนนให้ทีม 12 คะแนน 7 รีบาวด์และ 3 แอสซีสต์  และในเกมที่ 6 ของเขา เมโล่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักบาสเก็ตบอลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA เป็นอันดับ 2 ที่ทำคะแนนมากกว่า 30 คะแนนในเกม      ( ซึ่งอันดับ 1 เป็นของโคบี้ ไบรอันท์ ที่ตอนนั้นอายุ 19 ปี 151 วัน)

UNITED STATES NATIONAL TEAM

คาร์เมโล่  แอนโธนี่ มีชื่อติดทัพบาสเก็ตบอลสหรัฐอเมริกาในการไปแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นครั้งที่เขาได้เล่นเคียงข้างนักบาสระดับท็อปมากมายคือ เลบรอน เจมส์ , ดเวน เวด , โคบี้ ไบรอันท์ และ เจสัน คิดด์ รวมถึงคนอื่นๆ ทีมได้ชนะด้วยคะแนนเฉลี่ย 32.2  พวกเขาสามารถเขี่ยออสเตรเลียตกรอบรองชนะเลิศโดยเมโล่ทำคะแนน 31 คะแนน 

สู่ New York Knicks

ในปี 2010-2011 คาร์เมโล่ แอนโธนี่ขอขึ้นบัญชีย้ายออกจากเดนเวอร์ นักเก็ตส์หลังจากที่ปฏิเสธการต่อสัญญากับต้นสังกัดและเป็นที่คาดเดากันว่าทีมใหม่ที่เขาจะย้ายไปอยู่นั้นคือนิวยอร์ค นิกส์และยังมีทีมอื่นๆ เช่น นิว เจอร์ซี่ย์ เน็ตส์ , ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ และ แอตแลนต้า ฮอวกส์ ทั้งนี้แอนโธนี่ได้ขอขึ้นบัญชีย้ายแต่ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใดทำให้เขาต้องลงเล่นให้กับนักเก็ตส์ต่อในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2010 โดยทำ 20 รีบาวด์เป็นครั้งแรก ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันเมโล่พลาดการลงเล่นให้กับทีมถึงห้าเกมรวดเพราะเกิดน่าเศร้าที่เขาสูญเสียน้องสาวของตัวเอง มิเชลล์ และกลับมาเล่นอีกครั้งในวันที่ 1 มกราคม 2011
กุมภาพันธ์ 2011 แอนโธนี่ก็ย้ายมาอยู่กับ NYK โดยการสลับตัวกับ ชาวน์ซี่ย์ บิลลับส์ พ๊อยต์การ์ดจาก NYK แอนโธนี่เลือกหมายเลข 7 ภายใต้เสื้อของ NYK ซึ่งหมายเลข 15 ที่เขาใส่ให้กับนักเก็ตส์นั้นรีไทร์ให้กับตำนานของทีมนั่นคือ เอิร์ล  มอนโรและดิค แม็คไกวร์ เกมแรกของเมโล่สามารถเอาชนะ บัคส์ 114-108 โดยเขาทำได้ 27 คะแนนและ 10 รีบาวด์ 
ในรอบเพลย์ออฟสายตะวันออก NYK ถูกไขว้เจอกับบอสตัน เซลติกในเกมนี้ทีมต้องเสียผู้เล่นไปสองคนจากอาการบาดเจ็บนั่นคือ อมาเร่ สเตาเดอไมร์ และ ชาวน์ซี่ย์ บิลลับส์ หลังจากที่ทีมปราศจากผู้เล่นคนสำคัญบนกราวน์แอนโธนี่สามารถโชว์ฟอร์มโหดโดยทำไปถึง 42 คะแนน 17 รีบาวด์ และ 6 แอสซีสต์ แต่นิคส์ก็ต้องจบทางสู่การเป็นแชมป์ NBA ในซีซั่นนั้นโดยกาแพ้เซลติกในเกมที่ 4

รางวัลที่ได้รับ

ติด NBA ALL STAR 6 ครั้ง 
รางวัล NBA  Scoring Champion 2013
NBA  Rookie  Challenge MVP 2005
ฯลฯ








สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล
ประวัติส่วนตัว

ชื่อ-สกุล : สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล
ชื่อเล่น : แว่น ความจริงชื่อเล่นว่าจิ๋ว
ภูมิลำเนา : กรุงเทพฯ
เกิดเมื่อ 14 ก.พ. 2520

ประวัติการศึกษา :
-  เรียนอนุบาลถึงชั้นป.6 ที่โรงเรียนคณิตวิทยา
-  โรงเรียนน้อยนพคุณ
-  ปริญญาตรี คณะสังคมวิทยามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้ว

ประสบการณ์ :
- นักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน
- ได้รับเลือกติดทีมเยาวชนเขต 10 เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติถึง 4 ครั้ง
- ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และสุพรรณบุรี
- ได้รับคัดเลือกติดทีมชาติไทยในที่สุด ในการแข่งขันบาสเกตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย ประเภทดิวิชั่นสอง ที่ประเทศญี่ปุ่นชื่อของสิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล มาดังระเบิดเถิดเทิงเมื่อเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะทั้งฝีมือ หน้าตาทำให้ทุกครั้งที่ น้องแว่น ลงเล่น คนดูเต็มสนามทุกที และทำให้บาสเกตบอลกลับมาเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอีกครั้งตอนนี้แว่นก็ยัง เล่นบาสเกตบอลอยู่เหมือนเดิม

ที่อยู่ :
- 99/105 ถ.เทศบาลสงเคราะห์ ต.ลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ  หรือ
- 459 ซ.พิบูลย์อุปถัมภ์ ลาดพร้าว 48 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม.10310

You Are What You Eat
กินดี…สุขภาพดี แค่นี้ก็ Happy แล้ว






สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล (น้องแว่น)
      หากพูดถึงสาวหล่อ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง น้องแว่น สิริรัตน์ ยนต์โยธินกุล อดีตนักบาสเกตบอลหญิงทีมชาติไทย เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน จำได้ว่าเราเริ่มรู้จัก น้องแว่น ครั้งแรกเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ในฐานะ นักบาสสาวหล่อ ซึ่งดังระเบิดวงการกีฬาบ้านเราด้วยภาพลักษณ์ของนักบาสหญิงฝีมือดีที่หล่อจน สื่อมวลชนขนานนามเธอว่า ศรราม 2 แต่เอ…ช่วงนี้ น้องแว่น หายหน้าหายตาไปไหน Live Well Guide ฉบับนี้รับอาสาตามหา น้องแว่น มาไขข้อข้องใจให้คลายความสงสัยและหายคิดถึงกัน

ก้าวสู่ทีมชาติ…ต้องฝึกซ้อมหนัก
      แว่นติดทีมชาติตั้งแต่ปี 2538 ค่ะ ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 1 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ต้องเรียนที่ศูนย์รังสิต แต่แว่นเก็บตัวฝึกซ้อม รวมทั้งกินอยู่หลับนอนที่การกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก ซ้อมหนักมากกกก (น้องแว่นลากเสียงยาว) ตื่นมาซ้อมตั้งแต่ตี 5 ถึง 7 โมงเช้า แล้วนั่งรถเมล์ไปถึงมหาวิทยาลัยไม่เกิน 9 โมงครึ่ง พอเลิกเรียน 4 โมงเย็นก็รีบกลับมาซ้อมที่หัวหมาก แว่นก็อาศัยพักผ่อน (นอนหลับ) บนรถเมล์นั่นแหละค่ะ (พูดไปหัวเราะไป) ส่วนเรื่องเรียนไม่มีปัญหาค่ะ เพราะแว่นโชคดีที่เพื่อนๆ และอาจารย์เข้าใจ อาจมีแอบหลับบ้าง ยืมเล็คเชอร์เพื่อนไปอ่านบ้าง แต่แว่นไม่เคยขาดเรียนนะคะ ส่วนชีวิตหลังเรียนจบก็เหมือนเดิมค่ะ ยังคงซ้อมหนักเหมือนเดิมแค่เปลี่ยนจากไปเรียนเป็นไปทำงานเท่านั้นเอง แต่มีช่วงหนึ่งที่แว่นเหนื่อยสุดๆ (ปี 2544) ทั้งซ้อมบาส ทั้งเรียนปริญญาโท ทั้งทำงาน เริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยเต็มที่กับงาน เกรงใจทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งเจ้าของบริษัท เลยตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ หลังจากเรียนจริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ จึงเริ่มทำงานอีกครั้งที่บริษัทของคุณอา

อิ่มตัวแล้วกับ 9 ปีที่รับใช้ชาติ
      แว่นเลิกเล่นทีมชาติตั้งแต่ปี 2547 ค่ะ รู้สึกว่าอิ่มตัวแล้วกับ 9 ปีที่รับใช้ชาติ แต่แว่นก็ไม่ได้ละทิ้งวงการบาสไปไหนนะคะ ยังมีเล่นบาสเพื่อการกุศลอยู่บ้างเหมือนกัน และช่วยคุณอาทำทีมบาสสโมสรไฮเทค ซึ่งเพิ่งได้แชมป์ ถ้วยพระราชทานฯ ถ้วย ก มาหมาดๆ ด้วยค่ะ ปัจจุบันนี้แว่นทำงานอยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงเป็น Co-Producer รายการเงาะถอดรูป ทางช่อง 3 ค่ะ อย่าลืมติดตามชมนะคะ

หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      แว่นยังออกกำลังกายสม่ำเสมอนะคะ เช่น ทำงานบ้านเอง เล่นกับสุนัขที่บ้าน แต่ถ้าวันไหนกลับบ้านเร็วแว่นจะไปเล่นบาสที่สนามใกล้บ้าน ซึ่งก็ได้สอนน้องๆ แถวนั้นด้วย สำหรับสุขภาพของแว่นก็โอเคนะคะ แข็งแรงดีเหมือนเดิม อาจเป็นโชคดีที่แว่นไม่เที่ยวกลางคืน เพราะแพ้ควันบุหรี่และแอลกอฮอล์ค่ะ และแว่นบริจาคโลหิตทุก 3 เดือนมาโดยตลอดด้วยค่ะ

อาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญ
      แว่นให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกินเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งเลิกเล่นบาสทีมชาติยิ่งต้องใส่ใจมากขึ้นค่ะ เพราะตอนนี้แว่นไม่ได้ออกกำลังกายหนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แถมอายุก็มากขึ้นด้วย (หัวเราะ) เลยต้องระวังเรื่องอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ทานผักผลไม้เยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ ไม่ทานน้ำอัดลมและเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัวค่ะ

วิธีจัดการความเครียด
      ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา, นักศึกษา, หรือพนักงานบริษัทแน่นอนว่าต้องมีบางเวลาที่รู้สึกเครียด แต่แว่นมีวิธีจัดการกับความเครียดโดยการนั่งสมาธิ, สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน, ไปดูหนังหรือดู VCD ที่บ้านบ้าง, เปิดเพลงฟังแล้วร้องตามขณะขับรถ, ออกกำลังกาย เช่น ตีแบด ว่ายน้ำ เล่นบาส และเดินเล่นกับสุนัขค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้หนุ่มๆ แข็งแรง กระชุ่มกระชวย และสาวๆ สดใส เปล่งปลั่ง
      แว่นคิดว่าผู้ชายควรหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อเฟิร์ม รูปร่างดี พุงไม่พลุ้ย และจะดียิ่งขึ้นถ้าลดเที่ยวกลางคืน งดเหล้าเบียร์บุหรี่ได้ก็จะดีที่สุดค่ะ และต้องพักผ่อนให้เพียงพอด้วยนะคะ ส่วนปัจจัยที่ทำให้สาวๆ สดใส เปล่งปลั่ง น่าจะมาจากการที่ผู้หญิงระวังเรื่องอาหารการกินกันมากขึ้น ดูแลเรื่องความสะอาดของร่างกายอย่างดี และแบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกายบ้าง รวมทั้งทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปด้วยค่ะ

วิธีดูแลตัวเองให้สดใส สุขภาพดี อยู่เสมอ
      แว่นให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกินเป็นอันดับแรกเลยค่ะ แว่นจะใส่ใจทุกครั้งก่อนที่จะทานอะไร ดูว่ามีประโยชน์ไหม แว่นไม่ทานอาหาร Fast Food ของหมักดอง ระวังอาหารจำพวกแป้งและของมันๆ ดื่มน้ำเยอะๆ ผิวจะได้ไม่เหี่ยว แว่นทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้างเหมือนกันนะคะ เช่น วิตามินต่างๆ เพื่อช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ส่วนช่วงที่ต้องใช้พลังงานเยอะหรืออ่อนเพลีย อดหลับอดนอน แว่นจะทานซุปไก่สกัดค่ะ นอกจากเรื่องการกิล้วเรื่องจิตใจแว่นก็นั่งสมาธิค่ะ

เคล็ดลับเด็ดๆ ที่ทำให้หน้าใส ชะลอริ้วรอย
      จะว่าไปแล้วแว่นก็เข้าใกล้เลขสามเต็มทีแล้ว แต่หลายคนบอกว่าแว่นยังหน้าใสผิวดีไม่เปลี่ยนเลย (น้องแว่นพูดไปเขินไป) แว่นมีเคล็ดลับค่ะ เด็ดๆ เลยคือเรื่องอาหารการกิน จะเห็นว่าแว่นย้ำเรื่องนี้มาก เพราะกินอะไรเข้าไปจะส่งผลกับร่างกายเราอย่างนั้น อีกเรื่องคือการดูแลผิวพรรณ ต้องรักษาความสะอาด และทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ที่สำคัญห้ามล้างหน้าด้วยน้ำเย็นตอนอากาศร้อน หรือหลังออกแดดทันที เพราะจะทำให้เป็นฝ้าค่ะ







   









โคบี ไบรอันต์

         โคบี ไบรอันต์ (อังกฤษ: Kobe Bryant) เป็นนักบาสเกตบอล ตำแหน่งชู๊ตติ้งการ์ด สังกัดทีม ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2521 ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา

ตำแหน่ง :    ชู้ตติ้งการ์ด
ฉายา :    Black Mamba
ความสูง     : 6 ฟุต 6 นิ้ว (1.98 ม)
น้ำหนัก :     216 ปอนด์ (98 กก.)
สัญชาติ :     สหรัฐอเมริกา
วันเกิด :    23 สิงหาคม พ.ศ. 2521 (34 ปี)
เกิดที่ : ฟิลาเดลเฟีย, รัฐเพนซิลเวเนีย
จบมหาวิทยาลัย :    Lower Merion HS
ดราฟท์ :    ลำดับที่ 13, 1996
เล่นระดับอาชีพ :    1996–ปัจจุบัน
ทีมที่เคยเล่น :    ลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ 1996-ปัจจุบัน
รางวัล :    - ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอ (2008)
              - ผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอรอบไฟนอล (2009)


วัยเด็กและครอบครัว

          โคบี้เป็นลูกชายคนสุดท้องของ Joe "Jellybean" Bryant อดีตนักบาสเกตบอล NBA ทีม Philadephia 76ers ส่วนมารดาชื่อ Pamela Cox Bryant พ่อแม่ตั้งชื่อ โคบี้ หรือ โกเบ (Kobe) ตามชื่อ เนื้อโกเบ เนื้อชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นซึ่งพวกเขาเห็นในเมนูร้านอาหารแห่งหนึ่ง โคบี้มีพี่สาวสองคนชื่อ Sharia และ Shaya
          เมื่อโคบี้อายุได้ 6 ขวบ คุณพ่อของเขาออกจากสมาคมบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ และพาครอบครัวไปย้ายไปอยู่ที่ประเทศประเทศอิตาลี เพื่อเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพที่นั่น โคบี้ต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ๆ และฝึกหัดพูดภาษาอิตาลีและภาษาสเปนจนคล่องแคล่ว ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี โคบี้จะเดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมแข่งขันบาสเก็ตบอลลีกฤดูร้อน (Summer League) โคบี้เริ่มเล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และช่วงวัยเด็กเขายังเล่นซ็อกเกอร์(ฟุตบอล)ด้วย ทีมโปรดของเขาคือทีม เอซี มิลาน(AC Milan) เขาเคยบอกว่า ถ้าเขายังอยู่ในอิตาลี เขาอาจจะลองพยายามเป็นนักฟุตบอลอาชีพ นักฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ คือ แฟรงค์ รายการ์ด และ โรนัลดิญโญ่
         คุณพ่อของโคบี้ เกษียณจากการเล่นบาสเก็ตบอลในอิตาลีเมื่อปีพ.ศ. 2534 และครอบครัวเขาได้ย้ายกลับสหรัฐอเมริกา


มัธยมปลาย

          ไบรอันต์เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับประเทศเมื่อเขาสร้างผลงานกับทีมบาสเก็ตบอลของ Lower Merion High School ในเมืองฟิลาเดเฟีย ทีมเป็นที่รู้จักในชื่อทีม Aces ในปีที่สองที่เขาเล่นนั้น พ่อของเขาได้มาเป็นโค้ชให้กับทีมด้วย หลังจากนั้น ในค่ายบาสเก็ตบอล Adidas ABCD camp โคบี้แสดงฝีมือจนได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำปี 1995 สำหรับผู้เล่นปีสุดท้าย ในการแข่งขันนั้นโคบี้ได้เล่นทีมเดียวกับ ลามารื โอดอม ซึ่งปัจจุบันคือเพื่อนร่วมทีม LA Lakers ใน NBA ด้วย ระหว่างที่เขาเล่นบาสเก็ตบอลมัธยมปลายอยู่นั้น John Lucas โค้ชของทีม Philadephia 76ers ใน NBA ได้เรียกตัวเขาไปฝึกซ้อมด้วย และให้โอกาสเขาได้เล่นตัวต่อตัวกับดาราชื่อดังของทีมในขณะนั้น คือ Jerry Stackhouse ในปีสุดท้ายของมัธยม โคบี้พาทีมคว้าแชมป์ของรัฐได้สำเร็จ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปีของทีม ด้วยผลงานเฉลี่ยต่อเกม 30.8 คะแนน 12 รีบาวน์ 6.5 แอสซิสต์ 4 สตีล 3.8 บล็อก นำทีม Aces ชนะ 31 แพ้ 3 โคบี้จบการเล่นบาสเก็ตบอลระดับมัธยมด้วยการเป็นผู้เล่นที่ทำคะแนนรวมสูงสุดตลอดกาลของ เพนซิลเวเนียตอนใต้ คือ 2,883 คะแนน แซงหน้านักบาสเก็ตบอลระดับตำนานทั้ง Wilt Chamberlain และ Lionel Simmons เขายังได้รับรางวัลมากมายจากผลงานการเล่นปีสุดท้ายของเขา ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Naismith High School Player of the Year, Gatorade Men's National Basketball Player of the Year, McDonald's All-American และ SA Today All-USA First Team player ในปี 1996 โคบี้สร้างความฮือฮาโดยการพา Brandy Norwood นักร้อง R&B สาวชื่อดังไปที่งานเต้นรำเมื่อจบการศึกษา แต่เขาทั้งสองก็เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น ถึงแม้ว่าโคบี้จะสอบวัดระดับ SAT ได้ถึง 1,080 คะแนน และมีทุนการศึกษาสำหรับนักกีฬาจากหลายต่อหลายมหาวิทยาลัยรออยู่ แต่ไบรอันต์วัย 17 ปี ก็ตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการบาสเก็ตบอลอาชีพ NBA แทน ทำให้เขาเป็นถูกรุมล้อมไปด้วยสื่อมากมายที่ยังไม่คุ้นเคยกับเด็กที่จบมัธยมแล้วเลือกจะเข้าเป็นนักบาสเก็ตบอล NBA โดยไม่เรียนมหาวิทยาลัยก่อน โคบี้เคยกล่าวว่า ถ้าหากเขาเลือกเรียนมหาวิทยาลัย เขาจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University)


บาสเกตบอลอาชีพ NBA

NBA Draft ปี 1996

         ผู้เล่นตำแหน่งการ์ดคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกเข้าสู่ NBA ตั้งแต่จบมัธยมปลาย ไบรอันต์ได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 13 จากการดร๊าฟรอบแรกโดยทีม Charlotte Hornets ในปี 1996 อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของไบรอันต์ในขณะนั้นเห็นว่าโคบี้ไม่ควรจะเล่นให้กับทีมชาร์ล็อตต์ และชาร์ล็อตต์เองก็คิดที่จะแลกเปลี่ยนตัวผู้เล่นกับทีมเลเกอร์สอยู่แล้ว ก่อนหน้าการดร้าฟตัวผู้เล่นนั้น โคบี้มีโอกาสได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมในลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้ต่อกรในสนามกับอดีตผู้เล่นของเลเกอร์ส คือ Larry Drew และ Michael Cooper จนสะดุดตา Jerry West ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ในที่สุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1996 West ตัดสินใจแลกตัวผู้เล่นเซ็นเตอร์ตัวจริงของทีมเลเกอร์ส คือ Vlade Divac ไปให้ทีมฮอร์เน็ตส์ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการดร้าฟตัวไบรอันท์ และเนื่องจากโคบี้เพิ่งอายุได้ 17 ปี พ่อแม่ของเขาต้องร่วมเซ็นสัญญากับเลเกอร์ส จนกระทั่งโคบี้สามารถเซ็นสัญญาเองได้เมื่ออายุครบ 18 ปี ก่อนจะเปิดฤดูกาล


สามฤดูกาลแรก (ปี 1996-99)

          ช่วงปีแรกนั้น ไบรอันท์ต้องเป็นตัวสำรองให้กับการ์ดรุ่นพี่อย่าง Eddie Jones และ Nick Van Exel ในขณะนั้น โคบี้คือผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์(ปัจจุบันสถิตินี้โดนทำลายโดยเพื่อนร่วมทีมเลเกอร์ส ชื่อ Andrew Bynum) และยังเป็นผู้เล่นตัวจริงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาด้วย ในช่วงเริ่มต้นเขาอาจไม่ได้ลงเล่นมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็มีโอกาสได้ลงเล่นมากขึ้น เขาจบฤดูกาลแรก (1996-97) ด้วยเวลาลงสนามเฉลี่ย 15.5 นาทีต่อเกม สร้างชื่อจนกลายเป็นจอมเหินเวลาและขวัญใจของแฟนๆด้วยการคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest ได้รับเลือกให้ติดทีมอันดับสองของ NBA All Rookies พร้อมกับเพื่อนร่วมทีม ชื่อ Travis Knight นาทีสุดท้ายของฤดูกาลนั้นของเขาจบลงด้วยหายนะ เมื่อชู้ตบอลพลาดแบบไม่โดนห่วง (air ball) ถึง 3 ครั้ง ในช่วงเวลาสำคัญ คือ ลูกแรกเขาชู้ตสุดท้ายที่จะทำให้ทีมชนะพลาด ก่อนจะหมดเวลาปกติ ทำให้เกมต้องเข้าสู่ช่วงต่อเวลา และในช่วงท้ายของการต่อเวลายังยิงสามคะแนนพลาดอีก 2 ครั้ง ทำให้ทีมเลเกอร์สต้องตกรอบแรกใน Playoffs (ระบบแพ้คัดออก เล่นแบบชนะ 4 ใน 7 เกม) ให้กับทีม Utah Jazz หลังการแข่งขัน ชาคีล โอนีล(Shaquille O'Neal) เพื่อนร่วมทีมในตอนนั้น ให้ความเห็นว่า "ไบรอันต์เป็นคนเดียวในตอนนั้นที่กล้าพอจะชู้ตลูกเหล่านั้น"
           ในปีที่สองของการเล่น โคบี้ได้โอกาสลงเล่นมากขึ้น และเริ่มแสดงฝีมือให้เห็นว่าเขาเป็นการ์ดหนุ่มที่มีพรสวรรค์ เขาทำคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปีแรกจาก 7.6 เป็น 15.4 แต้มต่อเกม เขาได้ลงเล่นมากขึ้นเมื่อเลเกอร์สใช้แผน "ผู้เล่นตัวเล็ก" ทำให้โคบี้รับตำแหน่งปีกตัวเล็ก (Small Forward) และได้ลงเล่นพร้อมกับการ์ดรุ่นพี่ที่เขาต้องเป็นตัวสำรองให้เป้นประจำ แม้ว่าจะได้แค่อันดับรองและพลาดตำแหน่งผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยม (NBA's Sixth Man of The Year)ไป แต่ด้วยความนิยมจากแฟนๆ ทำให้เขาได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา และกลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้เป็นตัวจริงในเกมรวมดารา NBA All-Star ปีนั้น เพื่อนร่วมทีมของเขาคือ Shaquille O'Neal, Eddie Jones และ Nick Van Exel ก็ได้รับคะแนนเสียงจากแฟนเช่นกัน ทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 ที่มีผู้เล่นจากทีมเดียวกันถึง 4 คนได้ร่วมทีมเดียวกันในเกมรวมดารา คะแนนเฉลี่ย 15.4 คะแนนของโคบี้ยังเป็นคะแนนสูงสุดสำหรับผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นตัวจริงของทีมในฤดูกาลปกติอีกด้วย
           ในฤดูกาล 1998-99 ขึ้นมาเป็นการ์ดแนวหน้าของลีกอย่างรวดเร็ว เมื่อการ์ดตัวจริงทั้งสองคน คือ Nick Van Exel และ Eddie Jones ถูกเทรดออกไป โคบี้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกเกมตลอด 50 เกม ในปีที่ NBA มีปัญหา lockout ระหว่างฤดูกาลนั้น โคบี้ได้ต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 6 ปี เป็นมูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เขาได้อยู่กับทีมเลเกอร์สไปจนถึงฤดูกาล 2003-04 แม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มอาชีพการเล่นบาสเก็ตบอลได้ไม่นาน แต่สื่อกีฬาต่างๆก็เริ่มเปรียบเทียบความสามารถของเขากับผู้เล่นระดับโลกอย่าง Michael Jordan และ Magic Johnson แล้ว อย่างไรก็ตาม ใน playoffs ปีนั้น เลเกอร์สก็โดน San Antonio Spurs กวาดเรียบ 4 เกมรวดในเกมรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก (Western Conference semi-finals)


แชมป์ 3 สมัยซ้อน (ปี 2000-02)

            ในไม่ช้าชะตาชีวิตของไบรอันท์ก็เปลี่ยนไปเมื่อ Phil Jackson เข้ามารับหน้าที่โค้ชให้กับทีม LA Lakers ในปี 1999 หลังจากพัฒนาตัวเองมาหลายปี โคบี้กลายมาเป็นผู้เล่นตำแหน่งการ์ดตัวทำคะแนน (Shooting Guard) ชั้นแนวหน้า ได้รับเลือกให้ติดทีม All-NBA, All-Star และ All-Defensive ปีนี้ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส กลายมาเป็นทีมเต็งที่จะได้แชมป์ ภายใต้การนำทีมของ โคบี้ ไบรอันท์ และ ชาคีล โอนีล ที่ผสมผสานการเล่นของเซ็นเตอร์กับการ์ดได้อย่างยอดเยี่ยม และด้วยแผนการบุกแบบสามเหลี่ยม (Triangle Offense) ซึ่ง ฟิล แจ็กสัน เคยใช้พาทีม Chicago Bulls คว้าแชมป์ไปแล้วถึง 6 สมัย ก็ทำให้ทั้งสามคนพาทีม เลเกอร์สได้แชมป์ NBA ถึง 3 ปีซ้อน ในปี 2000, 2001 และ 2002
โคบี้เริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ด้วยการพลาดการลงสนามถึง 6 สัปดาห์เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่มือ ในเกมอุ่นเครื่องก่อนเริ่มฤดูกาลที่แข่งกับทีม Washington Wizards เมื่อเขากลับมาลงสนามได้ เขาลงเล่นมากกว่า 38 นาทีต่อเกม และทำผลงานเฉลี่ยต่อเกมสูงขึ้น รวมถึงการเป็นผู้เล่นที่ทำ แอสซิสต์และสตีล สูงสุดของทีมด้วย คู่หูโอนีลกับไบรอันท์พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทีมที่แข็งแกร่งพาทีมชนะถึง 67 เกม เป็นสถิติการชนะสูงสุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์ NBA โอนีลได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาลปกติ และโคบี้ได้รับเลือกให้ติดทีมผู้เล่นยอดเยี่ยมอันดับสอง (All-NBA Second Team) และ ทีมรับยอดเยี่ยม (All Defensive Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต(เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกติดทีมรับยอดเยี่ยม) ขณะที่ต้องรับบทพระรองของทีมในรอบเพลย์ออฟ ไบรอันต์ก็มีผลงานที่โดดเด่น รวมถึงการทำ 25 คะแนน 11 รีบาวน์ 7 แอสซิสต์ และ 4 บล็อก ในเกม 7 ของรอบชิงชนะเลิศฝั่งตะวันตก ที่เลเกอร์ส เจอกับ Portland Trail Blazers เขายังเป็นคนส่งบอลทำ alley-oop ให้กับโอนีลทำให้ทีมชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วย ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับทีม Indiana Pacers ไบรอันต์ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าใชช่วงควอเตอร์ที่ 2 ของเกมที่ 2 ต้องออกจากการแข่งขัน และไม่ได้ลงเล่นในเกมที่ 3 เมื่อเขากลับมาลงเล่นในเกมที่ 4 ไบรอันต์ทำคะแนนไป 22 คะแนนในครึ่งหลัง เขาต้องขึ้นเป็นผู้นำทีมเมื่อ โอนีล ทำ ฟาวล์เอ้าท์ ต้องออกจากการแข่งขัน ในช่วงท้ายของการต่อเวลา โคบี้ชู้ตทำคะแนนสุดท้ายให้ทีมขึ้นนำ 120-118 และด้วยชัยชนะในเกมที่ 6 ทำให้เลเกอร์สได้กลับมาครองแชมป์อีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1988
             ถ้าดูตามสถิติแล้ว ในฤดูกาล 2000-01 โคบี้ทำผลงานได้แทบไม่ต่างกับฤดูกาลก่อนหน้า นอกจากทำคะแนนเฉลี่ยได้มากขึ้นถึง 6 คะแนนต่อเกม(28.5) เป็นอีกปีนึงที่เขาทำแอสซิสต์สูงสุดในทีม ปีนี้ยังเป็นปีที่ความไม่ลงรอยกันระหว่างโอนีลกับไบรอันต์เริ่มที่จะเปิดเผยมากขึ้น อย่างไรก็ตามเลเกอร์สก็ยังชนะได้ถึง 56 เกม แม้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว 11 เกม และทำสถิติในรอบเพลย์ออฟด้วยการชนะ 15 แพ้ 1 ด้วยการกวาด Portland Trail Blazers, Sacramento Kings และ San Antonio Spurs ก่อนที่จะแพ้เกมแรกในรอบชิงชนะเลิศ กับ Philadephia 76ers ในช่วงต่อเวลา แล้วกลับมาชนะ 4 เกมรวดคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ติดต่อกัน ไบรอันต์ได้ลงสนามมากกว่าเดิมในช่วงเพลย์ออฟและทำให้ผลงานเฉลี่ยของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 29.4 คะแนน 7.3 รีบาวน์ 6.1 แอสซิสต์ต่อเกม และในช่วงเพลย์ออฟนั้นเอง แชคีล โอนีล เพื่อนร่วมทีมประกาศว่า โคบี้คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในเอ็นบีเอ ไบรอันต์ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมอันดับสอง (All-NBA Second Team) และ ทีมรับยอดเยี่ยม (NBA All Defensive Team) เป็นปีที่สองติดต่อกัน และยังได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา (NBA All-Star) เป็นผู้เล่นตัวจริง เป็นปีที่สามติดต่อกันด้วย (เว้นปี 1999 ที่ไม่มีการแข่งขัน All-Star)
             ในฤดูกาล 2001-02 โคบี้ลงสนามในฤดูกาลปกติถึง 80 เกมเป้นครั้งแรกในอาชีพการเล่น เขายังคงทำผลงานเฉลี่ยต่อเกม 25.2 คะแนน 5.5 รีบาวน์ 5.5 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงที่สุดในทีมอีกครั้งนึง เขาสถิติที่ดีที่สุดในอาชีพการเล่นด้วยการชู้ตที่แม่นยำถึง 46.9% ได้รับเลือกให้ติด ทีมรวมดารา และ ทีมรับยอดเยี่ยม อีกครั้ง และได้รับเลือกให้ติด ทีมยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง (All-NBA First Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต เลเกอร์สชนะ 58 เกม เป็นอันดับสองของฝั่งตะวันตก รองจากคู่แข่งร่วมรัฐ คือ ซาคราเมนโต้ คิงส์ ถนนในรอบเพลย์ออฟไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบสำหรับเลเกอร์สเหมือนปีที่ผ่านมา แม้พวกเขาจะกวาด พอร์ตแลนด์ในรอบแรก เอาชนะ สเปอร์ส 4-1 เกม แต่พวกเขาเสียเปรียบ ซาคราเมนโต้ เนื่องจากทำอันดับได้แกว่าตอนฤดูกาลปกติ และต้องกลับไปเล่นที่บ้านของ ซาคราเมนโต้ ในเกมสุดท้าย เพราะการแข่งขันยื้ดเยื้อไปถึงเกมที่ 7 เป็นครั้งแรกที่เลเกอร์สต้องแข่งถึงเกมสุดท้ายแบบนี้ในรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก นับตั้งแต่ปี 2000 อย่างไรก็ตาม เลเกอร์สก็สามารถเอาชนะและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ในรอบชิงชนะเลิศ ไบรอันท์ ทำคะแนนเฉลี่ย 26.8 แต้ม ด้วยเปอร์เซนต์การชู้ต 51.4% รีบาวน์ 5.8 ครั้ง และแอสซิสต์ 5.3 ครั้งต่อเกม รวมถึงทำคะแนนรวมเท่ากับ 1 ใน 4 ของคะแนนรวมของทีม ด้วยวัยเพียง 23 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ NBA 3 สมัย การเล่นของเขาเป็นที่จดจำและยกย่องในการเล่นช่วงควอร์เตอร์ที่ 4 ของเกม โดยเฉพาะในสองรอบสุดท้ายของเพลย์ออฟ ทำให้เขามีชื่อในการเป็นผู้เล่นที่ทีมพึ่งพาได้ในช่วงเวลาสำคัญ



ไปไม่ถึงฝั่งฝัน (ปี 2002-2004)

           ในฤดูกาล 2002-03 ไบรอันท์ทำคะแนนเฉลี่ย 30 แต้มต่อเกม และจารึกประวัติศาสตร์ด้วยการทำคะแนน 40 แต้มหรือมากกว่า ติดต่อกันถึง 9 เกม ทำให้เดือนกุมภาพันธ์ เขาทำคะแนนเฉลี่ย 40.6 แต้มต่อเกม และในฤดูกาลเดียวกันนี้เอง เขายังทำ 6.9 รีบาวน์ 5.9 แอสซิสต์ และ 2.2 สตีลต่อเกมอีกด้วย โคบี้ได้รับโหวตให้ติดทีม All-NBA และ All-Defensive 1st Team อีกครั้ง และมาเป็นอันดับ 3 ในการโหวตให้รับรางวัล MVP หลังจากทำสถิติ ชนะ 50 แพ้ 32 ครั้ง ในฤดูกาลปกติ เลเกอร์ส กลับพ่ายแพ้ให้กับ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส ในรอบรองชนะเลิศฝั่งตะวันตก ก่อนที่สเปอร์จะเข้าไปคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้ใน 6 เกม
            ฤดูกาลถัดมา 2003-2004 เลเกอร์ส ได้ตัวผู้เล่นระดับออลสตาร์ อย่าง Karl Malone และ Gary Payton มาร่วมทีมเพื่อจะมุ่งสู่การคว้าแชมป์เอ็นบีเออีกครั้ง ก่อนฤดูกาลแข่งขันจะเริ่มต้น โคบี้ ไบรอันท์ ถูกจับกุมข้อหาล่วงลัเมิดทางเพศ ทำให้เขาพลาดการลงสนามบางเกมเนื่องจากต้องไปปรากฏตัวที่ศาล หรือบางครั้งต้องไปขึ้นศาลก่อนแล้วจึงเดินทางตามมาที่สนามแข่งขันในวันเดียวกัน ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลปกติ โคบี้ชู้ตลูกสุดท้ายก่อนหมดเวลาถึง 2 ครั้ง ทำให้ทีมชนะเป็นผู้นำในฝั่ง Pacific Division ช่วงสุดท้ายของควอเตอร์ที่ 4 ไบรอันท์ยิงสามแต้ม ทำให้คะแนนเสมอกันและต้องต่อเวลา เกมสูสียืดเยื้อจนต้องต่อเวลาเป็นครั้งที่สอง ก่อนที่ไบรอันท์จะยิงลูกสุดท้ายให้เลเกอร์สชนะไป 105-104 คะแนน ทีมที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นตัวจริงซึ่งน่าจะได้เข้าสู่หอเกียรติยศในอนาคตทั้ง 4 คนอย่าง โอนีล, มาโลน, เพย์ตัน และไบรอันท์ นำพาทีมให้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง แต่ทีม Detroit Pistons ก็ดับฝันของพวกเขาใน 5 เกม ในรอบเพลย์ออฟนั้น โคบี้เฉลี่ยต่อเกม 22.6 คะแนน กับ 4.4 แอสซิสต์ และชู้ตเพียง 35.1% เมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทีมก็เกิดขึ้นเมื่อ โค้ช Phil Jackson ไม่ได้ต่อสัญญาและ Rudy Tomjanovich มารับช่วงเป็นโค้ชต่อ ผู้เล่นหลักอย่าง แชคีล โอนีล โดนเทรดไปอยู่ ไมอามี่ ฮีท แลกกับ ลามาร์ โอดอม, คารอน บัตเลอร์ และ ไบรอัน แกรนท์ ส่วนโคบี้ก็ปฏิเสธข้อเสนอของ Los Angeles Clippers และจรดปากกาเซ็นสัญญา 7 ปี กับ เลเกอร์ส


ความผิดหวังในรอบเพลย์ออฟ (ปี 2004-07)

           ไบรอันท์ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงฤดูกาล 2005-06 ด้วยชื่อเสียงที่ย่ำแย่จากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปีก่อน เรื่องเสียหายเรื่องหนึ่งก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์ของ อดีตโค้ช ฟิล แจ็กสัน ที่เขียนไว้ในหนังสือ The Last Season: A Team in Search of its Soul ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆในฤดูกาล 2003-04 ในหนังสือนั้น แจ็กสัน กล่าวถึงโคบี้ว่า เป็นคนที่ "ไม่สามารถที่จะโค้ช(สั่งสอนแนะนำ)ได้"
           ฤดูกาลผ่านไปได้แค่ครึ่งทาง รูดี้ ทอมจาโนวิช ก็ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าโค้ชของเลเกอร์สกะทันหันด้วยปัญหาสุขภาพ ทำให้ผู้ช่วยโค้ช แฟรงก์ แฮมเบล็น ต้องมารับหน้าที่แทน แม้ว่าโคบี้จะทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมสูงสุดเป็นอันดับสองของลีก แต่เลเกอร์สก็ล้มลุกคลุกคลานและไม่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้โคบี้โดนลดระดับโดยรวมลง ไม่ได้รับเลือกให้ติดทีมรับยอดเยี่ยม ถูกลดไปอยู่ในทีม All-NBA อันดับสาม ในระหว่างฤดูกาลนั้นไบรอันต์ยังไปมีเรื่องมีราวกับ เรย์ อัลเลน และ คาร์ล มาโลน ด้วย
           ฤดูกาล 2005-06 เรียกได้ว่าเป็นทางแยกสำคัญในอาชีพนักบาสเก็ตบอลของไบรอันต์ เมื่อ ฟิล แจ็กสัน กลับเข้ามาคุมทีมอีกครั้ง ไบรอันต์เห็นพ้องกับทีมที่นำโค้ชกลับมา และทั้งสองก็ทำงานด้วยกันได้อย่างดี ช่วยกันพาทีมกลับเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้อีกครั้ง การทำคะแนนของไบรอันต์พุ่งขึ้นสูงสุดในชีวิตการเล่นอาชีพ วันที่ 20 ธันวาคม 2005 เขาทำคะแนนได้ 62 คะแนน ในสามควอเตอร์ ที่เจอกับ ดัลลัส มาเวอริกส์ เมื่อเข้าสู่ควอเตอร์ที่สี่ ไบรอันต์ก็ทำคะแนนมากกว่าทีมมาเวอริกส์ทั้งทีมไปแล้วด้วยคะแนน 62-61 เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีผู้เล่นทำแบบนี้ได้ในเวลาแค่ สามควอเตอร์ นับตั้งแต่ปรับเวลา shot clock มาเหลือ 24 วินาที ต่อมาเมื่อเลเกอร์สพบกับทีม ไมอามี่ ฮีท ในวันที่ 16 มกราคม 2006 ไบรอันต์ กับ ชาคีล โอนีล ก็กลายเป็นหัวข้อข่าวดังเมื่อทั้งสองจับมือและกอดกันก่อนเริ่มเกม นับเป็นการสิ้นสุดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองที่ยาวนานมาตั้งแต่ โอนีล ออกจากลอสแองเจลีสไป หนึ่งเดือนต่อมาในเกม All-Star 2006 ทั้งสองก็ยังพูดคุยหัวเราะกันหลายต่อหลายครั้ง
           วันที่ 22 มกราคม 2006 ไบรอันต์ทำคะแนน 81 แต้ม ในเกมที่เอสชนะ โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ไปได้ 122-104 นอกจากจะเป็นการทำลายสถิติสูงสุดของทีม ที่ เอลกิ้น เบย์เลอร์ เคยทำไว้ 71 คะแนนแล้ว ยังเป็นการทำคะแนนสูงสุดอันดับสองในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ เป็นรองเพียงแค่ วิลท์ แชมเบอร์เลน ที่ทำไว้ 100 แต้มเมื่อปี 1962 เท่านั้น ในเดือนเดียวกันนั้นเอง โคบี้ยังกลายเป็นผู้เล่นคนแรกนับแต่ปี 1964 ที่ทำคะแนน 45 แต้มหรือมากกว่า 4 เกมติดต่อกัน มีเพียงแชมเบอร์เลน และเบย์เลอร์เท่านั้นที่เคยทำแบบนี้ได้ สถิติในเดือนมกราคมของไบรอันท์ ทำคะแนนเฉลี่ย 43.4 แต้มต่อเกม สูงสุดเป็นอันดับแปดในประวัติศาสตร์การทำคะแนนเฉลี่ยในเดือนเดียวของเอ็นบีเอ และเป็นคนเดียวที่ทำได้นอกจาก แชมเบอร์เลน เมื่อจบฤดูกาล 2005-06 ไบรอันต์จารึกประวัติศาสตร์ของทีมในหนึ่งฤดูกาล ในการทำคะแนนมากกว่า 40 แต้ม (27 เกม)และทำคะแนนรวมสูงสุด 2,832 แต้ม เขาได้รางวัลผู้เล่นที่ทำคะแนนสูงสุดในลีกเป็นครั้งแรก (35.4 แต้มต่อเกม) จากการโหวตผู้เล่นทรงคุณค่าแห่งปี 2006 เขาได้คะแนนรวมเป็นอันดับสี่ แต่ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งถึง 22 เสียง เป็นรองเพียงแค่ผู้ชนะคือ สตีฟ แนช ทีม ลอส แองเจลีส เลเกอร์ส ทำสถิติ ชนะ 45 แพ้ 37 ชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนหน้า 11 เกม และผู้เล่นทั้งทีมดูจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
           ต่อมาในฤดูกาลนั้น มีข่าวว่า ไบรอันต์ จะเปลี่ยนหมายเลขเสื้อ จากหมายเลข 8 เป็นหมายเลข 24 เมื่อเริ่มต้นฤดูกาล 2006-07 หมายเลขเสื้อของไบรอันท์ที่เขาใส่เป็นครั้งแรกตอนเรียนมัธยมปลายคือ เบอร์ 24 ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 33 หลังจากฤดูกาลจบลง โคบี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว TNT ว่าเขาอยากใส่เบอร์ 24 มาตั้งแต่ตอนเริ่มเล่นในเอ็นบีเอแล้ว แต่ตอนนั้นมีคนใช้เบอร์นี้อยู่ และจะใช้เบอร์ 33 ก็ไม่ได้ เพราะเบอร์นี้ถูกเกษียณให้เป็นเกียรติกับ คารีม อับดุล-จับบาร์ ตัวโคบี้เองใส่หมายเลข 143 ตอนอยู่ที่ค่าย Adidas ABC ก็เลยเอาเลขมารวมกัน ได้เป็นเลข 8 ในรอบแรกของเพลย์ออฟ เลเกอร์เล่นได้ดีและขึ้นนำทีม ฟินิกส์ ซันส์ 3-1 เกม เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเกมสี่ เมื่อโคบี้ชู้ตลูกสุดท้ายในช่วงเวลาปกติทำให้เกมต้องตัดสินในช่วงต่อเวลา และยังชู้ตลูกสุดท้ายทำให้ทีมชนะในช่วงต่อเวลาอีกด้วย ในเกมที่ 6 ที่เหลือเวลาอีกเพียงหกวินาที พวกเขาก็จะปราบทีมซันส์ได้แล้ว แต่พวกเขากลับพลาดท่า แพ้ไปในช่วงต่อเวลา 126-118 และแม้ว่า โคบี้จะทำคะแนนเฉลี่ย 27.9 แต้มต่อเกมในการสู้กับฟินิกส์ ซันส์ เลเกอร์สก็พังไม่เป็นท่าและพ่ายตกรอบเพลย์ออฟใน 7 เกม ช่วงปิดฤดูกาล 2006 ไบรอันต์ต้องผ่าตัดเข่า ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมทีมชาติเพื่อแข่ง 2006 FIBA World Championship ได้
           ในช่วงฤดูกาล 2006-07 ไบรอันต์ได้รับเลือกให้เล่นในเกม All-Star เป็นครั้งที่ 9 และในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เขาทำ 31 คะแนน 6 แอสซิสต์ และ 6 สตีล ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของเกมออลสตาร์เป็นครั้งที่สอง ตลอดฤดูกาลนั้นไบรอันต์มีส่วนในเหตุการณ์ในสนามหลายครั้ง วันที่ 28 มกราคม ขณะที่กระโดดชู้ตลูกสำคัญที่อาจทำให้ทีมชนะ เขาพยายามจะประชิดตัวเพื่อเรียกฟาวล์จาก มานู จิโนบิลี่ การ์ดของ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส แต่กลับเหวี่ยงศอกใส่หน้าของ จิโนบิลี่ ซึ่งต่อมาทางเอ็นบีเอได้ตรวจสอบจากภาพและตัดสินห้ามไบรอันต์ลงเล่นในเกมต่อมา ด้วยเหตุผลว่า โคบี้ "เคลื่อนไหวแบบผิดธรรมชาติ" คือ จงใจเหวี่ยงศอกไปด้านหลัง หลังจากนั้น ในวันที่ 6 มีนาคม ดูเหมือนว่า โคบี้ จะทำแบบเดิมอีก คราวนี้เป็นการเหวี่ยงแขนใส่ มาร์โก้ ยาริก การ์ดของ มินเนโซต้า ทิมเบอร์วูลฟ์ วันที่ 7 มีนาคม เอ็นบีเอจึงห้ามไบรอันต์ลงเล่นอีกหนึ่งเกม เมื่อกลับมาลงเล่นในวันที่ 9 มีนาคม เขาศอกใส่หน้า ไคลี่ คอร์เวอร์ แต่ครั้งนี้ เอ็นบีเอพิจารณาว่า เป็นการ ฟาวล์รุนแรง แบบที่ 1
          วันที่ 17 มีนาคม โคบี้ทำคะแนนสูงสุดในฤดูกาล คือ 65 แต้ม ในเกมที่เลเกอร์สเปิดบ้านรับ พอร์ตแลนด์ เทรล เบลเซอร์ ช่วยให้ทีมชนะหลังจากแพ้รวดมา 7 เกม เป็นการทำคะแนนสูงสุดอันดับสองในชีวิตการเล่น 11 ปี เกมถัดมาไบรอันท์ทำ 50 คะแนน เมื่อเจอกับ มินเนโซต้า ทิมเบอร์วูลฟ์ และ ทำ 60 คะแนนในบ้านของ เมมฟิส กริซลีย์ กลายเป็นผู้เล่นคนที่สองของเลเกอร์สที่ทำ 50 คะแนนหรือมากกว่าติดต่อกันสามเกม ไม่เคยมีใครทำมาก่อนหลังจากที่ ไมเคิล จอร์แดน ทำไว้เมื่อปี 1984


ผลงานในการแข่งขันบาสเกตบอล

- คว้าแชมป์ nestle crunch slam dunk
- เป็นผู้เล่นที่ทำแต้มมากสุดโดยทำในเกมส์เดียวอันดับสองคือ 81 แต้ม รองจาก Wilt Chamberlain ซึ่งทำได้ 100 แต้ม
- ติด NBA all star ทั้งหมด 11 ครั้ง
- เป็นแชมป์ NBA 4ครั้ง ปี 2000 2001 2002 2009,
- เป็น MVP final 2009,
- MVP 2008,
- NBA scoring champion สองครั้ง 2006 2007,
- All NBA first team 7ครั้ง ปี 2002-2004 2006-2009,
- All NBA second team 2ครั้ง ปี 2000 2001,
- All NBA third team 2ครั้ง ปี 1999 2005,
- All defensive first team 7ครั้ง ปี 2000 2003-2004 2006-2009,
- All defensive second team 2ครั้ง ปี 2001 2002,
- NBA all rookie second team 1997,
- NBA all star game MVP 3ครั้ง ปี 2002 2007,2009


Kobe Bryant drives to the hoop
Kobe Bryant pulls up for the jumpshot

รางวัลเอ็มวีพีเกมออล-สตาร์เป็นครั้งที่ 4













ข้อมูลส่วนตัว 
ชื่อเต็ม - รัสเซลล์ เวสต์บรู๊ค
ฉายา - เจ็ท ซีโร่
เกิด - 12 พ.ย. 88 (23 ปี)
สัญชาติ - สหรัฐอเมริกา
ส่วนสูง - 6 ฟุต 3 นิ้ว (191 ซม.)
น้ำหนัก - 85 กิโลกรัม
ถนัด - ขวา
ตำแหน่งการเล่น - พอยต์การ์ด
ค่าเหนื่อยที่ได้รับในปัจจุบัน - 5.0 ล้านเหรียญสหรัฐ / ปี
เริ่มเล่นอาชีพในเอ็นบีเอ - ปี 2008
ทีมที่เคยสังกัด - โอกลาโฮม่า ซิตี้ ธันเดอร์ 2008-ปัจจุบัน
รางวัลที่ได้รับ - ออลสตาร์ 2 สมัย , ทีมรุ๊กกี้ยอดเยี่ยมปี 2009 
ประวัติ

        รัสเซลล์ เวสต์บรู๊ค เกิดที่ ลองบีช แคลิฟอร์เนีย เริ่มเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างจริงจังสมัยเรียนไฮสคูลที่รร. ลูซิงเกอร์ หลังจากนั้นเจ้าตัวมุ่งหน้าสู่มหาลัย UCLA ที่มีชื่อเสียงเรื่องกีฬาชนิดนี้ ก่อนใช้เวลาขัดเกลาฝีมืออยู่ 2 ปีจนได้รับการเสนอชื่อดร๊าฟตัวในปี 2008 และเป็น ซีแอตเทิ่ล ซูเปอร์โซนิค ที่ต่อมากลายมาเป็น โอกลาโฮม่า ซิตี้ ธันเดอร์ ได้เลือกผู้เล่นรายนี้เข้ามาสู่ทีมในการดร๊าฟรอบแรกลำดับที่ 4

         เวสต์บรู๊ค มี "แมจิก จอห์สัน" เป็นแรงบันดาลใจ แต่สไตล์การเล่นที่เจ้าตัวร่ายมนต์ออกมากลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยส่วนสูงที่ไม่มากเกินไป บวกกับร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำให้รูปแบบการเล่นของ เวสต์บรู๊ค ดุดันปราดเปรียวดั่งเครื่องบินไอพ่น จนได้รับฉายาว่า "เจ็ท ซีโร่"

         พอยต์การ์ดวัย 23 ปี เริ่มต้นปีแรกกับ โอกลาโฮม่า ในฐานะรุ๊กกี้ของทีมน้องใหม่ (ซีแอตเทิ่ล ซูเปอร์โซนิค เดิม) แต่ทีมยังไม่ประสบความสำเร็จ ตกรอบเพลย์ออฟไปแบบไม่มีลุ้น อย่างไรก็ตามถ้าพูดเป็นรายบุคคล เวสต์บรู๊ค ถือว่าสอบผ่านจากผลงานแต้มเฉลี่ยในฤดูกาลแรกสูงถึง 20.6 คะแนน ขณะที่ฤดูกาลต่อมาผลงานดีขึ้นด้วยการผ่านเข้าสู่รอบเพลย์ออฟเป็นครั้งแรก ก่อนตกรอบจากน้ำมือของแชมป์ในปีนั้นอย่าง เลเกอร์ส

         ตลอดอาชีพการเล่น 4 ปีของเจ้าตัวในศึกเอ็นบีเอ เวสต์บรู๊คได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามีดีพอที่จะโลดแล่นอยู่ในวงการนี้ รางวัลรุ๊กกี้ทีมแรกยอดเยี่ยม 2009 - ออลสตาร์ 2 สมัย และเหรียญทองบาสชิงแชมป์โลกที่ตุรกีเมื่อปี 2010 รวมถึงผลงานการพาทีมเข้าสู่เอ็นบีเอไฟนั่ล 2012 ถือเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จของเจ้าตัวได้เป็นดี







  


            

ข้อมูลส่วนตัว  
ชื่อเต็ม - คริสโตเฟอร์ เวสสัน บอช
ฉายา - ซีบีโฟร์ (ไม่ได้ใช้แล้ว) ,ซีบีวัน,อวตาร , Mr. basketball
เกิด - 24 มี.ค 84 (28 ปี)
สัญชาติ - สหรัฐอเมริกา
ส่วนสูง - 6 ฟุต 11 นิ้ว (211 ซม.)
น้ำหนัก - 107 กิโลกรัม
ถนัด - ซ้าย
ตำแหน่งการเล่น - เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด , เซ็นเตอร์
ค่าเหนื่อยที่ได้รับในปัจจุบัน - 16.02 ล้านเหรียญสหรัฐ / ปี
เริ่มเล่นอาชีพในเอ็นบีเอ - ปี 2003
ทีมที่เคยสังกัด - โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส 2003-10 , ไมอามี่ ฮีต 2010-ปัจจุบัน
รางวัลที่ได้รับ - ออลสตาร์ 7 สมัย , เหรียญทองโอลิมปิก 2008

ประวัติ 
             "คริสโตเฟอร์ เวสสัน บอช" คือนามเต็มของนักบาสเก็ตบอลชื่่อดังของอเมริกา ปัจจุบันเจ้าตัวเล่นอยู่กับสโมสร ไมอามี่ ฮีต ในลีกเอ็บบีเอ บอช เริ่มเล่นบาสเก็ตบอลอย่างจริงจังในช่วงไฮสคูลที่รัฐเท็กซัส จนได้รับฉายาว่า "Mr. basketall"  หลังจากจบเกรด 12 เจ้าตัวมุ่งหน้าสู่วิทยาลัยจอร์เจียเทคและใช้เวลาอยู่ที่นั่น 1 ปี ก่อนเข้าดราฟตัวสู่เอ็นบีเอในปี 2003 และได้รับเลือกจาก โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส เป็นลำดับที่ 4 ในรอบแรก (ปีเดียวกับ เลอบรอส์ เจมส์ - ดเวย์น เหว็ด และ คาร์เมโล่ แอนโธนี่ย์) สมัยที่เล่นกับ โตรอนโต้ บอชได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมของลีก ชื่อเล่นของ คริส บอช ในสมัยนั้นคือ "CB4" ซึ่งมาจากการเอาอักษรตัวหน้าของชื่อ-นามสกุล บวกกับเบอร์เสื้อที่ใส่มารวมกัน ซึ่งช่วงที่อยู่แคนาดาฟอร์เวิร์ดวัย 28 ปีได้รับคัดเลือกเป็นผู้เล่นออลสตาร์ถึง 5 ครั้งและติดทีมชาติสหรัฐไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิกที่ปักกิ่งได้สำเร็จ
             "ซีบีวัน" เข้ามารับช่วงเป็นผู้นำของทีมต่อจากอดีตสตาร์ แร็ปเตอร์ส อย่าง วินส์ คาร์เตอร์ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง และยังสามารถพาทีมเข้าสู่เกมเพลย์ออฟในฤดูกาล 2006-07 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นอกจากนี้เจ้าตัวยังทำลายสถิติตลอดกาลของ แร็ปเตอร์ส ทั้งจำนวนแต้มที่ทำได้-รีบาวด์-บล็อก-การทำดับเบิ้ลๆ-การยิงฟรีโทรว์ รวมถึงนาทีที่ลงสนาม อย่างไรก็ตามหลังความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่ฤดูกาล 2007-08 ทำให้ คริส บอช ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาที่จะหมดลงในปี 2010 ทั้งๆที่เจ้าตัวรักทีมนี้มาก และเป็น ไมอามี่ ฮีต ที่ยื่นข้อเสนอที่ดีเข้ามา
             หลังหมดยุค "เหว็ด-แช็ค" ไมอามี่ ฮีต ร้างความสำเร็จไปนานและต้องการสร้างทีมใหม่ แผนของอดีตแชมป์ปี 2006 คือการคว้าตัวซูเปอร์สตาร์ชื่อดังเข้ามาผนึกกำลังกับ เหว็ด ซึ่งเป็น เลอบรอน เจมส์ และ คริส บอช ที่ก้าวเข้าสู่ถิ่น อเมริกัน แอร์ไลน์ส อารีน่า โดย คริส บอช เปลี่ยนมาสวมเสื้อเบอร์ 1 และถูกเรียกจากแฟนฮีตว่า "ซีบีวัน"  รวมถึงได้รับฉายาจากแฟนบาสชาวไทยว่า "อวตาร" (มาจากรูปร่างหน้าตาและทรงผมที่คล้ายตัวละครในหนังเรื่อง Avatar)
             ภายใต้สีเสื้อลูกไฟเพลิง บอช โชว์ศักยภาพทันที ลงเล่นในฐานะตัวจริงไป 77 จาก 82 เกมตลอดฤดูกาลปกติ ทำเฉลี่ย 18.7 แต้มกับ 8.3 รีบาวด์ต่อเกมพา ฮีต จบด้วยการเป็นทีมแชมป์กลุ่มเซาธ์อีสต์ ก่อนทะลุยาวในรอบเพลย์ออฟผ่านทั้ง บอสตัน และ ชิคาโก้ คว้าแชมป์สายตะวันออก แม้สุดท้ายจบไม่สวยเมื่อต้องพลาดท่าให้กับ ดัลลัส ในรอบชิงชนะเลิศ 2-4 เกม ฤดูกาล 2011-12 ฮีต กลับมาใหม่ด้วยขุมกำลังที่ไม่เปลี่ยนไปมากนัก คริส บอช ยังเป็น 1 ใน 3 บิ๊กเนมที่ ฮีต ฝากความหวังเอาไว้และยังคงโลดแล่นสร้างผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า "ซีบีวัน" ถ้าไม่เจ็บหนักไปซะก่อนเราจะได้เห็นการกำหมัดดีใจของฟอร์ดวิร์ดร่างโย่งรายนี้ไปอีกนาน